เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมก็เพื่อเอาใจของตนเองไง ใจของตนเอง เกิดมา เพราะมีชีวิต ถ้าสิ่งมีชีวิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาสิ่งที่มีชีวิต เริ่มต้นชีวิตของเราเอง แต่เวลามันเป็น เป็นของเราเอง แต่เราเอาของเราไว้ไม่ได้ เอาของเราไว้ไม่ได้ มันออกฤทธิ์ออกเดช มันฟาดงวงฟาดงากลางหัวใจนี้มีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าความทุกข์ความยาก เห็นไหม

 

เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เป็นคนดี สอนให้เป็นคนดี สอนให้เป็นคนจิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจเพื่อประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ คนนั้นเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดี เป็นคนดีจะมีความสุขนะ

 

ดูสิ เวลาคนพาล เวลาคนพาลเขาคิดว่าเขาเป็นคนยิ่งใหญ่ เวลาคนพาล คนมันชอบระรานเขา แล้วคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นะ พอตัวเองยิ่งใหญ่แล้วคิดว่า พอคิดว่าไง พอคิดว่านี่มันผิดใจไปทั้งนั้นน่ะ ใครมองหน้าไม่ได้ๆ มันเป็นคนพาล

 

แต่ถ้าเป็นคนดีๆ มีความสุข ความสงบระงับนะ ความสุข ความสงบระงับ อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขของมัน อยู่ที่ไหนก็รักษาหัวใจของเรา เราเป็นคนดี เราจะเดินไปไหนเราเดินไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เราหลบเราหลีกเขาไป แต่เรายิ่งใหญ่ในหัวใจของเราไง แต่คนพาลมันเบ่งกล้าม มันไปไหนมันไปไม่รอดหรอก มันไปไหนไปไม่รอดเพราะมันจะไปสะดุดขาตัวมันเอง ไปสะดุดขาตัวมันเองด้วยอะไร ด้วยกรรม

 

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำคุณงามความดี ถ้าสังคมเข้าใจผิด เขาจะติฉินนินทาก็ชั่วคราวเท่านั้นน่ะ เวลาเขาสำนึกได้ๆ นะ เขาขออภัย เขาขออภัยเพราะว่าเขาได้ข่าวมาไม่ถูกต้อง นี่ไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ถ้าฟังเพื่อเหตุนี้ เราทำบุญกุศลของเรา เรามาเสียสละทานของเรา

 

เวลาหลวงตาท่านบอกประจำ คนทำบุญกุศลไว้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คำว่า “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” คนดีๆ เวลาตกทุกข์ได้ยาก มีคนเห็นใจ มีคนจะช่วยเหลือเจือจาน เห็นไหม ทำดีๆ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราพยายามเสียสละทานของเราขึ้นมา

 

การเสียสละทานของเราขึ้นมา นั่นเป็นข้อเท็จจริง แต่เป็นเรื่องของกิเลสไง เวลาทำแล้วประกาศผล มีแต่ความยิ่งใหญ่ จะไปไหนต้องให้คนล้อมหน้าล้อมหลัง ไอ้นั่นเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้นน่ะ เป็นการตลาด

 

เวลาการตลาด มีวัดวัดหนึ่ง ถ้าคนไหนเป็นเศรษฐี เขาจะจัดคนไว้เพื่อบริการโดยเฉพาะเลย ไอ้นั่นก็หลงใหลได้ปลื้มกันไป แต่ถ้าคนเป็นจริงของเขานะ เขาเสมอภาคกัน ความเสมอภาคของเรา เราทำที่ไหนก็ได้ เราทำบุญที่ยิ่งใหญ่ นี่ไง เวลาตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คนที่ทำแล้วไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณ มันอยู่ในหัวใจของคน

 

เวลาคนทำด้วยความยิ่งใหญ่ ไปไหนมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง มีแต่คนตราหน้า แล้วเขาไม่สนใจหรอก ตกน้ำดี ป๋อมแป๋มไปเลย แล้วถ้าไฟไหม้ยิ่งดีใหญ่ เพราะเขาไม่มีใครสนใจ

 

นี่ไง บุญคืออะไร บุญคือมันต้องมีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุที่มาที่ไป เหตุปัจจัยนั้นเป็นความจริง คือข้อเท็จจริงนั้น ถ้าข้อเท็จจริงนั้น สิ่งนั้นใครๆ เขาก็มีน้ำใจต่อผู้ที่เป็นสัจจะเป็นความจริงอันนั้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของคนพาลๆ ไม่มีใครเขาสนใจหรอก

 

นี่ไง เวลาทำบุญ ทำบุญกุศลเพื่อเรา ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา นี่พูดถึงเรื่องระดับของทาน ระดับของทานขึ้นมาแล้ว เวลาพระพุทธศาสนา มนุษย์ต่างจากสัตว์ ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรมคือมีสติมีปัญญาแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ ถ้าการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้นะ คนต้องมีสติมีปัญญา

 

คำว่า “สติๆ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความประมานเลินเล่อ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นบ่อเกิดแห่งการผิดพลาด การเสียหายทั้งนั้น แต่ถ้ามีสติมีปัญญา การฝึกหัดสติๆ เวลาทำสิ่งใดต้องมีสติ เวลาคนที่จะภาวนาก็ต้องมีสติ คำว่า “มีสติๆ” สติมันจะเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งที่ดีงาม

 

คนเราเวลาขั้นของทาน ศีล ภาวนา พระพุทธศาสนาสอนให้คนฉลาด สอนให้คนมีสติปัญญา สอนให้คนช่วยเหลือตัวเอง เวลาภาวนาขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น ตรัสรู้อยู่องค์เดียว

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญามันอยู่ที่ไหน สติปัญญามันอยู่ในสมองเราไง สมองนี่โลกียปัญญา มาจากสมองทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนามันมาจากจิต ถ้ามาจากจิต มันละเอียดลึกซึ้งกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า สิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้มันค้นคว้ามาอย่างไร ถ้ามันค้นคว้านะ มันค้นคว้ามาได้ในพระพุทธศาสนาไง

 

พระพุทธศาสนาเวลาภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น มันเกิดความมหัศจรรย์กับตัวเองนะ เกิดความมหัศจรรย์กับหัวใจของเรา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ มหัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ นั่นเวลาถ้ามันเป็นจริง ทั้งๆ ที่คนที่รู้เองเห็นเองนะ

 

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องโลกๆ คำว่า “เรื่องโลกๆ” เห็นไหม พระพุทธศาสนาเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเรา เราเป็นชาวพุทธๆ ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เราทำคุณงามความดีๆ แต่กิเลสในหัวใจของเรามันก็บอกทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ไอ้คนที่ทำชั่ว ไอ้คนเป็นคนพาล ไอ้คนระรานชาวบ้านทำไมมันได้ดีๆ

 

นี่มันเป็นไง มันเป็นที่กรรมเก่า กรรมใหม่ไง คำว่า “กรรม” กรรมคือเกิดมาแล้วมันมีโอกาส ถ้ามีโอกาสขึ้นมา สิ่งที่การกระทำ คนดีๆ คนที่เกิดมาอยู่ท่ามกลางสว่างแล้วไปสว่างเลย คนเกิดมาดี ดีตลอดต่อเนื่องไปนี่ โอ้โฮ! สุดยอด

 

คนเวลาเกิด บุญมันพาเกิดอย่างนั้นขึ้นมาเฉยๆ แต่เกิดแล้วมันคนพาลๆ มันเข้าทำลายเหยียบย่ำกันไป มันทำให้เราเห็นไง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี พอตัวอย่างที่ไม่ดี เวลาทำคุณงามความดีก็มาน้อยเนื้อต่ำใจไง เราก็ทำคุณงามความดีขนาดนี้ เราทำความดีตลอด เราทำดีมาตลอด ทำไมความดีไม่ให้ผล

 

ให้ ให้แน่นอน แล้วให้มากด้วย ให้มากด้วยเพราะอะไร เพราะทำความดีๆ ต่อเนื่องไป สิ่งที่ทำความดี ความดีทำได้แสนยาก ทำความดี ดูสิ ปลาเป็นว่ายทวนน้ำแสนเหนื่อยแสนยาก ไอ้ปลาตายมันลอยไปตามน้ำสะดวกสบายของมัน เราต้องขวนขวาย เราต้องว่ายทวนกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน ทุกคนมันต้องการความสะดวกความสบายทั้งนั้น เราจะต้องขวนขวายไป ปลาเป็นว่ายทวนน้ำไป ทำคุณงามความดีมันจะไม่ได้ดีได้อย่างไร ปลาเป็นมันมีชีวิตอยู่ มันจะไปวางไข่ มันจะเผยแพร่พันธุ์ของมัน ปลาตายมันเป็นอาหารของเขาอยู่แล้ว เขารอเอาไปทำแกง ไปทำอาหาร นั่นคือปลาตาย นี่ไง เราเอาอย่างนั้นหรือ

 

ถ้าเราเป็นคนดีๆ นะ เวลาฝึกขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญา เวลามีสติปัญญา มันแก้ไขได้นะ แล้วเวลากรณีของการติดถ้ำๆ หมูป่านั่นน่ะ เพราะอะไร คนทั่วโลกเขาไปวิจัยทั้งนั้นน่ะ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร

 

มันเป็นอย่างนั้นเพราะความไว้วางใจ พอความไว้วางใจ การไว้วางใจ ความเชื่อ ความมีสัตย์ คนมีศีลมีธรรมอยู่ด้วยกันมันเห็นไง ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน นี่เขาเป็นทีมเดียวกัน เขาอยู่ด้วยกันมาตลอด เขาถึงเชื่อคนพาไป นี่การไว้วางใจ การไม่หวาดระแวงไง การไม่ระแวง การไว้วางใจ แล้วความมีสติมีปัญญาเอาตัวรอดได้ อดอาหาร ๙ วัน ๑๐ วันไม่เห็นเป็นอะไรไปเลย เพราะอะไร เพราะพระพุทธศาสนาไง

 

เพราะพระพุทธศาสนา ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มักน้อยสันโดษ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้ภิกษุฉันมื้อเดียว แต่เวลาพระสมัยนั้นยังไม่ได้บัญญัติเป็นวินัยมา ยังฉันเพลกันมา ต้องการให้ฉันมื้อเดียวเพราะอะไร เพราะร่างกายไม่เป็นโรคเป็นภัย ร่างกายสุขภาพแข็งแรง แล้วภาวนาไป จิตใจมันจะดีขึ้น

 

แต่เวลาพระก็เขาบอกอยู่ไม่ได้ๆ ท่านเลยยังไม่ได้บัญญัติเป็นวินัย แต่ท่านก็มีความปรารถนา ความปรารถนาให้พระฉันมื้อเดียว พระฉันมื้อเดียวมันไม่เป็นภาระรุงรังไง ฆราวาสกินข้าว ๓ มื้อ ๔ มื้อไง กินอาหารเช้า กินอาหารกลางวัน กินอาหารเย็น เก็บล้าง ๓ หน พระหนเดียว

 

แล้วการหาอยู่หากินมา ร่างกายสุขภาพมันดีขึ้นนะ แต่เวลามันเหลือใช้ ดูสิ เด็ก โรคอ้วนๆ ความอ้วนเป็นโรคได้อย่างไร การกินอุดมสมบูรณ์เป็นโรคได้อย่างไร ตอนนี้โรคอ้วนระบาดทั่วโลกเลย เพราะอะไร แต่ก่อนเราขาดแคลนนะ แต่ด้วยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การเกษตรของเรามันดีขึ้น การถนอมอาหารต่างๆ เก็บไว้กิน โอ๋ย! กินกันจนเป็นโรคอ้วนไปหมดเลย มันดีตรงไหนล่ะ

 

นี่ไง ไอ้หมูป่าๆ หัวหน้าเขาเคยบวช พอเคยบวชเคยเรียนมา ไอ้เรื่องอดอาหารนะ เพราะอะไร เพราะในพระไตรปิฎกนะ ต่อไปจะเกิดสงคราม โลกจะแตก ถ้าโลกจะแตกแล้วนะ สิ่งต่างๆ ใครตายก่อน แล้วเวลาเหลือ เหลือใคร เหลือสมณะ เหลือผู้มีพรหมจรรย์อยู่ในป่า เพราะอะไร เพราะดำรงชีพสบายๆ นี่อยู่ในพระไตรปิฎกเลย

 

ฉะนั้น เวลาเขาอยู่ของเขา เขาแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า เราจะบอกว่า นี่มันเป็นปัญญา ปัญญาที่เราเป็นชาวพุทธ ที่เรามาวัดมาวากันนี่ ฟังเทศน์ๆ ทุกวัน ประเพณีวัฒนธรรม มาฟังเทศน์นะ นั่งพนมมือแล้วก็สัปหงกโงกง่วง เวลาเอวัง โอ้โฮ! สาธุ ฟังเทศน์เอาบุญ โอ้โฮ! ฟังเทศน์เอาบุญ ไปจำศีล ไปเอาบุญ นี่ระดับของทานๆ ไง เราจำเจ เราอยู่กับพระพุทธศาสนาโดยจำเจไง เราเลยไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา

 

เหตุการณ์เกิดขึ้น กรณีหมูป่า นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเลย เขาแปลกใจ เด็กอายุ ๑๑ ขวบมันอยู่กันได้อย่างไร มันไม่ร้องไห้กระจองอแง มันไม่อดอาหารจนซูบผอมจนถึงกับพิการ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร

 

นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่พวกเราหลงใหลได้ปลื้ม เชื่อทางวิชาการ สุขภาพชีวิต คุณภาพชีวิต แหม! ต้องอย่างนั้นๆ แต่ความจริงก็คือความจริงไง

 

เวลาโลกของเรามันไม่เหมือนกันใช่ไหม นี่พูดถึงว่า เราจะบอกว่าพระพุทธศาสนาสอนให้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีปัญญา เขาบอกทำสมาธิๆ ก็ตื่นเต้นกันใหญ่เลย ทำสมาธิ

 

ทำสมาธินะ ไอ้เนินนมสาวมันก็ทำสมาธิ มันอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเลย มันอยู่มาเป็นล้านๆ ปีด้วย สมาธิก็เป็นสมาธิ สมาธิมันเกิดจากจิต ถ้าเวลาทำสมาธิ ทำสมาธิเขาก็มีปัญญาของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไว้วางใจต่อกัน ความไว้วางใจและเชื่อถือกันนี่สำคัญมาก ความสามัคคี ความไว้วางใจที่ไม่แตกแยก

 

คนคนหนึ่งสิ ลองคนคนหนึ่งทำความผิดแตกแยกออกไป ไอ้คนที่มันทุกข์มันยากอยู่แล้ว มืดบอดอยู่แล้ว มันก็จะตามไป ความไว้วางใจกันต่างหาก ความสามัคคีที่เชื่อถือกันน่ะ ความเชื่อถือกันอันนั้น แล้วเวลาเด็กก็เป็นประสาเด็ก มันก็หิวของมัน มันก็กระหายของมันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน แต่ผู้ใหญ่เขาให้ความอบอุ่น ให้ความอบอุ่นด้วยความไว้วางใจ ให้ความอบอุ่นด้วยร่างกาย ให้ความอบอุ่นต่างๆ ทั้งหมด แล้วบอกว่าปัญญาๆ ไง เห็นว่าปัญญา นี่พูดถึงปัญญาเอาชีวิตรอดนะ

 

แต่พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาปัญญารอดจากกิเลสเลย สอนปัญญาให้จิตรอดพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากในการครอบงำเลย นี่ไง แค่ช่วยชีวิตออกมา พอช่วยชีวิตออกมา ต่อไปนะ ก็เห่อกันพักหนึ่ง เสร็จแล้วก็จะทิ้งมันไว้ข้างหลัง เสร็จแล้วก็เป็นกรณีตัวอย่าง

 

แต่ความจริง ความจริงของเรา นี่เป็นกรณีตัวอย่าง นี่เป็นเรื่องโลกกับธรรม โลกกับธรรมนะ เวลาสัจธรรมๆ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ เกิดมา มาจากไหน เกิดมาแล้วดำรงชีพอย่างไร แล้วเราจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ไอ้กรณีหมูป่าๆ เป็นกรณีตัวอย่างไง เป็นกรณีตัวอย่างของพระพุทธศาสนา

 

พระพุทธศาสนา ดูสิ ความเชื่อถือ ความเชื่อในพระพุทธศาสนาแค่เป็นประเพณีวัฒนธรรม แค่วัฒนธรรมเท่านั้นน่ะ ไอ้ ๑๓ หมูป่ามันมีวัฒนธรรมของชาวพุทธนะน่ะ มันเอาชีวิตมันรอดได้เลย แล้วถ้าคนมีสติมีปัญญามากกว่านั้น พระพุทธศาสนา ถ้ามีคุณค่าแค่ไหน เรามาวัดมาวาเรามาทำบุญกุศลของเรา เรามาทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศล คำว่า “เพิ่มอำนาจวาสนาบารมี” นั่นแหละ คำว่า “เพิ่มอำนาจวาสนาบารมี” มันทำให้จิตใจมีกำลัง มีกำลังคือมีจุดยืน ขันติธรรม ขันติคือความอดทนนิ่งอยู่ พอนิ่งอยู่ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเห็นหมดน่ะ เราทำสมาธิๆ กัน จิตที่มันเคลื่อนไหวมันมองไม่เห็น ถ้าจิตที่นิ่ง จิตที่ยืนอยู่จะมองเห็น ถ้านั่งลงจะเห็นภาพนั้นชัด

 

นี่ก็เหมือนกัน เรานิ่งอยู่ เราเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สิ่งที่อำนาจวาสนาบารมี ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีมันจะนิ่งของมัน แล้วเหตุการณ์สิ่งต่างๆ มันจะวินิจฉัยของมันได้ไง ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมากจนเกินไป แล้วถ้าสิ่งที่มันกระทบ อายตนะกระทบสิ่งใด มีสติปัญญาเท่าทันอายตนะนั้น รักษาจิตนั้นไว้ แล้วเวลาเราไปพิจารณาของเราให้มันสงบระงับเข้ามา ถ้าสงบระงับเข้ามา

 

เวลาการค้นคว้า เราจะบอกว่าสิ่งที่เขาค้นหาเจอสำคัญมาก ถ้าค้นหาเจอๆ นี่ไง จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ จิตเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิต เวลาจิตเห็นๆ เพราะจิตเห็น พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ ถ้าจิตเห็น นั่นน่ะยกขึ้นโสดาปัตติมรรค ถ้าจิตไม่เห็นไม่ได้ เปิดทางไม่ได้ วิปัสสนาๆ จะเกิดตรงนั้น

 

วิปัสสนาที่ทำกันอยู่นี่เหลวไหล มันเป็นเหมือนพวกจิตอาสาน่ะ เฮกันไปก็เฮกันมา อู้ฮู! คนช่วยเหลือเหยียบย่ำกันตายหมดเลย จะมาช่วยเหลือหมูป่า มันมาเหยียบกันตายอยู่หน้าถ้ำ ไม่ได้ช่วยหมูป่าเลย เพราะมันไม่เห็นจริงของมันไง นี่ก็เหมือนกัน สังคม กระแสสังคม เฮกันไปก็เฮกันมา แต่ค้นหาไม่เจอ ไม่เห็นจิตของตน ทำสมาธิก็ไม่เป็น ทำสิ่งใดก็ไม่ได้

 

ทำความสงบของใจเข้ามา ใจเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั่นน่ะค้นพบ ค้นหาเจอแล้ว เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา ขั้นของปัญญามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย ภาวนามยปัญญามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ นั่นน่ะเวลาเราจะพ้นจากทุกข์ๆ มันต้องเป็นอย่างนั้น

 

แต่กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างได้ชัดมาก เวลาค้นหายังไม่เจอ เรรวนกันไปหมด มีแต่ความคาดเดากันไปหมด แต่พอเจอ เฮ้อ! ทั้งโลกเลยเบาหมดเลย

 

นี่ก็เหมือนกัน เราภาวนากันเกือบเป็นเกือบตาย เราไม่เห็นอะไรเลย แล้วก็บ่นว่าทำอะไรไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้นเลย แต่จิตสงบแล้วถ้าไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนะ นั่นน่ะค้นพบ แล้วพอค้นพบขึ้นมาจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา การยกขึ้นสู่วิปัสสนา การใช้ปัญญา

 

ปัญญาๆ ที่ว่าเขามีสติมีปัญญาของเขา เขาดำรงชีวิตรอดของเขามาได้ ด้วยประเพณีวัฒนธรรมเท่านั้นเขายังเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ถ้ามีภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เอาจิตนี้รอดนะ พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นสมมุติ เป็นผลของวัฏฏะ แต่จิตนี้พ้นจากสมมุติไป พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธศาสนาสอนไปนู่นน่ะ แต่พวกเรามันเป็นกบเฝ้ากอบัว มันตื่นเต้นไปกับเขา

 

ในเรื่องของทางโลก ทางวิชาการเขาจะบอกเลยว่าเมืองไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา แต่ความจริงแล้ว ความจริงคือเป็นดวงใจพระพุทธศาสนามันจะอยู่ในหัวใจ อยู่ในสัจจะความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้ามันทำได้จริงขึ้นมาแล้วนั่นน่ะกลางพระพุทธศาสนา กลางพระพุทธศาสนาในหัวใจหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง

 

ฟังธรรม ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อนี้ เพื่อสร้างบุญกุศลของเรา ให้จิตของเรามีขันติธรรม ให้พิจารณาชีวิต ให้พิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วเวลาฝึกหัดภาวนาขึ้นมา มันพันธุกรรมของจิตๆ มันจะไปแก้กัน ไปแก้พันธุกรรม ไปแก้ถึงจิตใต้สำนึก ไปแก้ถึงอวิชชา ไอ้ความไม่รู้ ไอ้ความไม่รู้ที่มาเกิดๆ อยู่นี่ แล้วไปแก้ที่นั่นได้ มหัศจรรย์ๆ เราเห็นความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนานะ เราเห็นความมหัศจรรย์ของทั่วโลกเขาทึ่ง เขาทึ่งแค่นี้

 

แต่เราทึ่งถึงว่าคุณธรรมในพระพุทธศาสนา ใครเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน ใครเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วศึกษาค้นคว้าเป็นปัญญาของเรา ชีวิตของเรามีธรรมโอสถคอยแก้ไขบรรเทา แล้วถ้าคนที่มีสติมีปัญญานะ สามารถสมุจเฉทปหานชำระกิเลสในดวงใจนั้น เอวัง